[มือสอง] พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า
29,999 ฿
รายละเอียด
พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า จิ๋วแต่แจ๋ว อยู่ยงคงกระพัน
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ กรมราชฑัณฑ์กระทรวงนครบาล
ได้ลงโทษประหารชีวิตนายบุญเพ็ง (บุญเพ็ง หีบเหล็ก)
ด้วยวิธีการกุดหัว (ตัดศรีษะ) เมื่อวันที่ ๑๙ สิงหาคม
พ.ศ.๒๔๖๒ สถานที่ประหารชีวิตนายบุญเพ็ง คือลานวัดภาษี เขตวัฒนา กรุงเทพฯ
(นายบุญเพ็งเป็นนักโทษคนสุดท้ายในสยาม
ที่ถูกประหารชีวิตด้วยวิธีการกุดหัว)...ข้อมูลประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการลงถูกบันทึกไว้เพียงเท่านี้
เชื่อว่าหลายท่านคงพอจะทราบกันมาบ้างแล้ว แต่ประวัติศาสตร์หน้านี้ยังไม่สมบูรณ์ เพราะขาดรายละเอียดสำคัญในส่วนของปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ
ซึ่งเป็นช่วงเวลาขณะที่เพชรฆาตได้ลงดาบประหารนายบุญเพ็ง...เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้น
ชาวบ้านรุ่นคุณทวดที่ได้เข้าชมการประหารชีวิตนายบุญเพ็ง
ต่างรู้เห็นกันทุกคน (เพราะสมัยนั้นทางการอนุญาตให้ประชาชนเข้าชมการประหารชีวิตได้)
แล้วจึงมาเล่าให้ลูกหลานฟังต่อๆกันมาว่า เพชรฆาตได้ลงดาบฟันคอนายบุญเพ็งอย่างแรง แต่ดาบนั้นฟันไม่เข้า
เนื่องจากนายบุญเพ็งเป็นคนที่มีอาคมขลังหนังเหนียว เพชรฆาตจึงบอกกับนายบุณเพ็งว่า มีของดีอะไรให้เอาออกมามิเช่นนั้นจะเอาไม้รวกสวนทวาร(ก้น)
แล้วจะเจ็บปวดทรมานจนตาย...(วิธีการสวนทวารนี้ เป็นวิธีที่ครูเพชรฆาตสมัยโบราณสอนต่อๆกันมา
จะใช้กับนักโทษประหารที่มีอาคมขลังหนังเหนียวเท่านั้น) นายบุญเพ็งจึงยอมคาย "พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่าเนื้อชินเขียว" ซึ่งได้อมไว้ออกมาจากปาก จากนั้นเพชรฆาตจึงกุดหัวนายบุญเพ็งได้สำเร็จ...ข้อมูลส่วนนี้คือประวัติศาสตร์สำคัญหน้าที่ขาดหายไป แม้จะไม่ได้รับการจดบันทึกไว้อย่างเป็นทางการก็ตาม แต่ก็ถูกเล่าขานเป็นตำนานในกลุ่มของผู้ที่นิยมสะสมพระกรุอย่างไม่มีวันจบสิ้น
จากเรื่องที่นายบุญเพ็งหนังเหนียวฟันไม่เข้า เพราะอมพระพิจิตรเม็ดข้าวเม่าเนื้อชินเขียวไว้ในปาก กลายเป็นที่โจษขานกันอย่างมากในวงการนักสะสมพระเครื่องยุคปี
พ.ศ.๒๔๖๒ ทั้งเซียนพระและชาวบ้าน(ที่รู้เห็นเหตุการณ์)ต่างพากันแสวงหาพระเครื่องชนิดนี้กันถ้วนหน้า
ทำให้พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่าเนื้อชินเขียวได้รับความนิยมขึ้นมาทันที ประกอบกับในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
ได้มีกลุ่มคนร้ายเที่ยวลักลอบขโมยขุดพระเจดีย์ร้างตามจังหวัดต่างๆ
เพื่อค้นหาสมบัติเพชรพลอยทองคำในพระเจดีย์กันมากขึ้น จึงทำให้พระเนื้อชินเขียวแตกกรุออกมาเรื่อยๆเป็นจำนวนมากมายมหาศาลตามไปด้วย
ซึ่งพระกรุเหล่านี้ ส่วนใหญ่ก็จะถูกลำเลียงเข้าสู่สนามพระเครื่องในตัวจังหวัดนั้นๆ
จากนั้นก็จะถูกลำเลียงเข้าสู่สนามพระที่กรุงเทพอีกต่อหนึ่ง
(สนามพระที่กรุงเทพในยุคนั้น อยู่ที่วัดราชนัดดา , วัดโพธิ์ ,
สนามหลวง ฯลฯ) ไม่ว่าจะเป็นพระร่วงพิมพ์ต่างๆเนื้อชินเขียว ,
พระอัฏฐารสเนื้อชินเขียว , พระสี่สวนเนื้อชินเขียว
, พระมเหศวรเนื้อชินเขียว , พระหูยานเนื้อชินเขียว
, พระกำแพงหย่อง-พระปางลีลาพิมพ์ต่างๆเนื้อชินเขียว ,
พระขุนแผนเนื้อชินเขียว , พระนาคปรก-พระรอด
พะเยาเนื้อชินเขียว , พระพิจิตรหัวดง-พระพิจิตรพิมพ์ต่างๆเนื้อชินเขียว
เป็นต้น จากประสบการณ์ที่สัมผัสมา
พระกรุเนื้อชินเขียวน่าจะมีแบบพิมพ์พระเครื่องรวมกันทั้งหมดไม่น่าจะต่ำกว่า
50 พิมพ์ และที่เป็นพระขนาดใหญ่มีน้ำหนักมาก(คล้องคอช้าง-ม้า)อีกไม่น้อยกว่า
10 พิมพ์
ส่วนในด้านประสบการณ์เชิงอิทธิปาฏิหารย์ของพระกรุเนื้อชินเขียว นอกจากเรื่องของนายบุญเพ็งแล้ว
ยังมีอยู่อีกมากมายหลายเรื่องซึ่งคนเก่าแก่ในยุคนั้นทราบกันเป็นอย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขุนโจร(เสือคุ้มต่างๆ)ที่แขวนพระแล้วออกปล้น
แต่กลับคงกะพันหนังเหนียว หรือเรื่องของนักเลงหัวไม้
ที่แขวนพระเครื่องแล้วฟันแทงกันตามงานวัดแต่ไม่เป็นอะไร เป็นต้น...จากเท่าที่ได้ประมวลเหตุการณ์จากคำบอกเล่าของคนในยุคนั้น
เกี่ยวกับเรื่องของการแขวนพระเครื่องแล้วทำให้ผู้ที่แขวน
กลายเป็นคนคงกะพันหนังเหนียวพบว่า พระที่แขวนคอกันส่วนใหญ่มักจะหนีไม่พ้นพระกรุเนื้อชินเขียวนั่นเอง
ในส่วนนี้จึงเป็นดัชนีชี้วัดได้อย่างดีว่า คนในยุคนั้นให้ความนิยมกับพระกรุเนื้อชินเขียวกันขนาดไหนและเหตุผลคืออะไร
เมื่อพระกรุเนื้อชินเขียวกลายเป็นที่นิยมถึงขีดสุดของผู้คนในยุคสมัยนั้น พระปลอมจึงถูกผลิตออกมาต้อนรับกระแสความนิยมตามไปด้วย
โดยผู้ที่ทำพระเนื้อชินเขียวปลอมในยุคนั้น ได้ใช้ท่อแป๊ป (มีลักษณะเหมือนท่อ PVC ปัจจุบัน
แต่ขนาดเล็กกว่า สร้างจากโลหะผสม มีน้ำหนักมาก) เอามาหลอมผสมกับตะกั่ว
ช่วงแรกๆจะใช้วิธีการหล่อเททีละองค์ โดยนำมาเนื้อชินเขียวแท้มาเป็นแม่แบบ
แต่ผลงานที่ทำออกมาห่างไกลจากพระของแท้มาก คือพิมพ์พระมักจะตื้นและมีขนาดที่หนากว่าพระเนื้อชินเขียวของแท้
ในบางองค์ก็เทหล่อไม่เต็มบางส่วนขององค์พระแหว่งหายไปเลยก็มี
พอมาช่วงหลังๆจึงพัฒนาไปใช้เครื่องจักรปั๊มพระ คราวนี้พิมพ์พระมีความชัดเจนใกล้เคียงกับของแท้มาก เพียงแต่ขอบด้านข้างของพระแต่ละองค์จะมีเนื้อเกินจริงหรือล้นปลิ้นออกมา
จึงจำเป็นต้องมาตัดหรือฝนขอบพระเพื่อเอาเนื้อที่ปลิ้นนั้นออกไป
ซึ่งพระในชุดหลังนี้จะเห็นรอยตัดหรือรอยฝนขอบที่ด้านข้างทุกองค์